วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่  14


วันพุธ  ที่  5  เมษายน  พ.ศ. 2560



ไม่มีการเรียนการสอนเพราะอาจารย์ไปเป็นวิทยากรที่จังหวัดอ่างทอง









บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่  13


วันพุธ ที่  29  มีนาคม  พ.ศ. 2560

เนื้อหาการเรียนการสอน

            วันนี้ใครมาก่อนก็มาเอาตัวปั้มไปปั้มเพื่อเป็นการเช็คชื่อว่ามาเรียนเหมือนทุกๆครั้ง หลังจากที่รอเพื่อนๆมากันให้ครบหมดทุกคน อาจารย์ก็ได้พูดคุยกับนักศึกษาในเรื่องต่างๆ ก่อนที่จะเข้าสู้เนื้อหาการเรียนการสอนของวันนี้ กิจกรรมแรกก่อนเข้าสู้เนื้อหาการเรียนได้แก่

กิจกรรมมือของฉัน




                คำสั่งคือ อาจารย์ให่นักศึกษาวาดรูปมือของตนเอง โดยให้วาดลายละเอียดของเส้นลายมือของตัวเองให้เหมือนที่สุด โดยอาจารย์ให้นักศึกษาคว่ำมือที่ไม่ถนัดลงวางไว้บนโต๊ะเพื่อที่ให้นักศึกษาลองจำลายมือของตัวเองว่าเราจะจำลายมือของตนเองได้มากเพียงใด โดยไม่หงายมือของตนเองมาดู เมื่อนักศึกษาวาดเสร็จแล้วอาจารย์ก็เก็บรวบรวมเพื่อที่จะให้เพื่อนๆลองทายว่าเป็นลายมือของใคร  ถ้าเพื่อนๆคนไหนทายถูกแสดงว่าเจ้าของลายมือวาดได้ตรงตามลายมือของตนเอง
(เราควรจะจดบันทึกพฤติกรรมของเด็กไว้ทุกครั้งเพื่อที่เราจะได้จำได้  เพราะถ้าเราไม่จดบันทึกเวลาผ่านไปเราอาจจะจำไม่ได้เลย)

กิจกรรมวงกลมหลากสี







                คำสั่ง อาจารย์ให้นักศึกษาระบายสีเป็นวงกลมให้สวยงามที่สุด โดยเลือกสีที่เราชอบ กิจกรรมนี้เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ของเราว่าเราเป็นคนแบบไหน หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้นักศึกษาแต่ละคนนำวงกลมของตนเองมาติดไว้ที่หน้าห้องเรียนโดยอาจารย์จะมีลำต้นไว้ให้แล้ว แล้วให้นักศึกษาแตกกิ่งออกไปให้สวยงาม


โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program)
แผน IEP
แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถ
ของเขา
ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก
การเขียนแผน IEP
คัดแยกเด็กพิเศษ
ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
เด็กสามารถทำอะไรได้  / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP
IEP ประกอบด้วย
ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
วิธีการประเมินผล
ประโยชน์ต่อเด็ก
ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ
ประโยชน์ต่อครู
เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไปล
เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ
ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน
ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
รายงานทางการแพทย์
รายงานการประเมินด้านต่างๆ
บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
ระยะยาว
ระยะสั้น
จุดมุ่งหมายระยะยาว
กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
- น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
- น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
- น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้
จุดมุ่งหมายระยะสั้น
ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
จะสอนใคร
พฤติกรรมอะไร
เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
ใคร 
อะไร 
เมื่อไหร่ / ที่ไหน 
ดีขนาดไหน  



3. การใช้แผน
- เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
- นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
- แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
- จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
- ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
- ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
- ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
- อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก
4. การประเมินผล
-โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
-ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล
** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม  อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน**

การนำเอาไปประยุกต์ใช้

            ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมระยะสั้นระยะยาว และการเขียนแผน  IEP เพื่อที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้เอาไปปรับใช้ได้จริง  เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่เรียนมาเอาไปปรับใช้และใช้สอนเด็กได้จริงในอนาคต

ประเมินผล

ประเมินตนเอง

           แต่งกายมาเรียนสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา ตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์สอน ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมอย่างเต็มที่

ประเมินเพื่อน

           เพื่อนๆแต่งกายมาเรียนสุภาพเรียบร้อย ส่วนมากจะมาตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียนกันทึุกคน ให้ความร่วมือในการทำกิจกรรมอย่างเต็มที่

ประเมินอาจารย์ 
          
           อาจารย์แต่งกายมาสอนสุภาพเรียบร้อย พูดจาไพเราะและเป็นกันเองมาก มาตรงต่อเวลา และทบทวนสอนสิ่งที่นักศึกษาไม่ค่อยเข้าใจสอนให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น   



วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่  12


วันพุธ ที่ 22  มีนาคม  พ.ศ. 2560

เนื้อหาการเรียนการสอน


การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด 
เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach) 
1.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
เกิดผลดีในระยะยาว
เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program; IEP)
โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน
2. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัต  (Activity of Daily Living Training)
การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)
การบำบัดทางเลือก
การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
การฝังเข็ม (Acupuncture)
การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)
การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System;
PECS)
เครื่องโอภา (Communication Devices)
โปรแกรมปราศรัย
Picture Exchange Communication System (PECS)






บทบาทของครู
ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู
ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง 
การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
1. ทักษะทางสังคม
เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข
การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน  แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง
ยุทธศาสตร์การสอน
เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น  ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
ครูจดบันทึก
ทำแผน IEP
การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ
ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น
อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม
การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
ทำโดย “การพูดนำของครู”
ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
การให้โอกาสเด็ก
เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง
2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
ถามหาสิ่งต่างๆไหม
บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด
การพูดตกหล่น
การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
ติดอ่าง
การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
ห้ามบอกเด็กว่า  “พูดช้าๆ”   “ตามสบาย”   “คิดก่อนพูด”
อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน
ทักษะพื้นฐานทางภาษา
ทักษะการรับรู้ภาษา
การแสดงออกทางภาษา
การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด

พฤติกรรมตอบสนองการแสดงออกทางภาษา

พฤติกรรมเริ่มการแสดงออกของเด็ก

ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
ให้เวลาเด็กได้พูด
คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว
ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง (ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
ใช้คำถามปลายเปิด
เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น
ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
การสอนตามเหตุการณ์  (Incidental Teaching)



3. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง
เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด
การกินอยู่ 
การเข้าห้องน้ำ 
การแต่งตัว 
กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน
การสร้างความอิสระ
เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
อยากทำงานตามความสามารถ
เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่

ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
การได้ทำด้วยตนเอง
เชื่อมั่นในตนเอง
เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี
หัดให้เด็กทำเอง
ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป]
ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ 
 หนูทำช้า หนูยังทำไม่ได้
จะช่วยเมื่อไหร่
เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร , หงุดหงิด , เบื่อ , ไม่ค่อยสบาย
หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 2-3 ปี)
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 3-4 ปี)
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 4-5 ปี)
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 5-6 ปี)
ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
เรียงลำดับตามขั้นตอน
การเข้าส้วม
เข้าไปในห้องส้วม
ดึงกางเกงลงมา
ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
ปัสสาวะหรืออุจจาระ
ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
กดชักโครกหรือตักน้ำราด
ดึงกางเกงขึ้น
ล้างมือ
เช็ดมือ
เดินออกจากห้องส้วม

สรุป
ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
เด็กพึ่งตนเองได้ รู้สึกเป็นอิสระ
4. ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
เป้าหมาย
การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ 
มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
เด็กรู้สึกว่า “ฉันทำได้”
พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
อยากสำรวจ อยากทดลอง
ช่วงความสนใจ
ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่
การรับรู้ การเคลื่อนไหว
ได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส กลิ่น
ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
ต่อบล็อก
ศิลปะ
มุมบ้าน
ช่วยเหลือตนเอง

ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ
ลูกปัดไม้ขนาดใหญ่
รูปต่อที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก

ความจำ
จากการสนทนา
เมื่อเช้าหนูทานอะไร
แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
จำตัวละครในนิทาน
จำชื่อครู เพื่อน
เล่นเกมทายของที่หายไป
การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
จัดกลุ่มเด็ก
เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
พูดในทางที่ดี
จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
ทำบทเรียนให้สนุก
ความรู้ที่ได้รับและการนำเอาไปประยุกต์ใช้

             ได้ความรู้เกี่นวกับการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษมากขึ้น
 เพื่อนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้จริงและถูกวิธี

ประเมินผล 


ประเมินตนเอง

         แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา ตั้งใจขณะที่อาจารย์กำลังพูด ตั้งใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆอย่างเต็มที่


ประเมินเพื่อน


        เพื่อนๆแต่งกานสุภาพเรียบร้อย ส่วนมากเพื่อนๆจะมาตรงต่อเวลา ตั้งใจฟังและทำกิจกรรมต่างๆกันอย่างเต็มที่


ประเมินอาจารย์


         อาจารย์คอยดูและคอยช่วยเหลือนักศึกษาทุกคน อาจารย์พูดจาไพเราะและเป็นการเองมาก มาตรงต่อเวลาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย