วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4

วันพุธ ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560

ย์สัดูที่





บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่  3

วันพุธ ที่ 25 มกราคม พ.ศ.2560

เนื้อหาการเรียนการสอน

              วันนี้ใครมาก่อนก็มาเอาตัวปั๊มไปปั๊มเพื่อเป็นการเช็กชื่อมาเรียน ระหว่างรอเพื่อนๆที่ยังไม่มา อาจารย์ก็พูดคุยกับนักศึกษาเรื่องต่างๆเพื่อไม่ให้เสียเวลาในระหว่างที่รอเพื่อนๆมากันให้ครบ หลังจากที่เพื่อนๆมากันครบหมดทุกคนแล้ว อาจารย์ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาการเรียนการสอน

   

ประเมทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)
      
             เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด  หมายถึง เด็กที่ีมีความบกพร่องซึ่งเกิดจากพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด

1.ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)

* เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป ความ เป็น คาม
* ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง กิน - จิน กวาด -ฟาด
* เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย หกล้ม เป็น หก-กะ-ล้ม
* เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง แล้ว เป็น แล่ว

2.ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)


* พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
* การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
* อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกิน
* จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
* เสียงพูดขาดความต่ิเนื่อง สละสลวย

3.ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)

* ความบกพำร่องของระดับเสียง
* เสียงดังหรือค่อยเกินไป
* คุณภาพของเสียงไม่ดี

ความบกพร่องทางภาษา
            หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด และ/หรือ ไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้

1.การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)  

* มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
* มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
* ไม่สามารถสร้างประโยคได้
* มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
* ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วนๆ

2.ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia

* อ่านไม่ออก (alexia) 
* เขียนไม่ได้ (agraphia ) 
* สะกดคำไม่ได้
* ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
* จำคำหรือประโยคไม่ได้ 
* ไม่เข้าใจคำสั่ง
* พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้

Gerstmann’s syndrome

* ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia)
* ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria)
* คำนวณไม่ได้ (acalculia)
* เขียนไม่ได้ (agraphia)
* อ่านไม่ออก (alexia)

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา

*ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
* ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
* ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
* หลัง 3 ขวบ แล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
* ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
* หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
* มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
* ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย

เด็ดที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)

* เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
* อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
* เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
* มีปัญหาทางระบบประสาท
* มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

โรคลมชัก (Epilepsy)

* เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติของระบบสมอง
* มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน

1.การชักในช่วงเวลาสั้นๆ (Petit Mal)

* อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10 วินาที
* มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
* เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
* เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย

2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)

* เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู่

3.อาการชักแบบ Partial Complex (คลายๆแบบคนเมา)

* มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
* เหม่อนิ่ง
* เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และตอบสนองต่อคำพูด
* หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก

4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)

* เป็นอาการระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก

5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)

* เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น

การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานในกรณีเด็กมีอาการชัก

* จับเด็กนอนตะแครงขวาบพื้นราบที่ไม่มีของแข็งว
* ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
* หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศรีษะ
* ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
* จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
* ห้ามนำวัตดุใดๆใส่ในปาก
* ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ
ซี.พี. (Cerebral Palsy)

* การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
* การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน

1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)

* อัมพาตครึ่งซีก spastic hemiplegia
* อัมพาตครึ่งท่อนบน spastic diplegia
* อัมพาตครึ่งท่อนล่าง spastic paraplegia
* อัมพาตทั้งตัว spastic quadriplegia



2.กลุ่มที่ทีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง (athetoid , ataxia)
athetoid อาการขยุกขยิกช้าๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของเด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี่ยวร่วมด้วย
ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน


3.กลุ่มอาการแบบผสมผสาน (Mixed)

กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)

* เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
* เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
* จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)

* ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกำข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่วท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
* ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนองเศษกระดูกผุ
* กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

ตัวอย่าง

 
เท้าปุก โรคเท้าปุก สามารถหายแต่ไม่สามารถหายขาดได้ ถ้าไม่ได้ใส่รองเท้าดัดที่หมอให้ใส่ก็อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

โรคกระดูกสันหลังส่วนล่างไม่ติด

โปริโอ (Poliomyelitis)
* มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
* ยื่นไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ

โรคกระดูกอ่อน 


โรคศรีษะโต Hydrocephalus)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)


โรคระบบทางเดินหายใจ 


โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)


โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)


โรคมะเร็ง (Cancer)


เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)

แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency)


Lena Maria
 เป็นนักกีฬาคนพิการ  กีฬาว่ายน้ำ เก่งในด้านว่ายน้ำ ร้องเพลง และวาดรูป

 


Nick Vujicic     เป็นนักพูด



ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ

* มีปัญหาเกี่ยวการทรงตัว
* ท่าเดินคล้ายกรรไกร
* เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
* ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
* มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
* หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลาบนิ้ว
* หกล้มบ่อยๆ
* หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ


การนำเอาไปประยุกต์ใช้

            ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษในหลายๆเรื่อง  เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่เรียนมาเอาไปปรับใช้และใช้สอนเด็กได้จริงในอนาคต

ประเมินผล

ประเมินตนเอง

           แต่งกายมาเรียนสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา ตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์สอน ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมอย่างเต็มที่

ประเมินเพื่อน

           เพื่อนๆแต่งกายมาเรียนสุภาพเรียบร้อย ส่วนมากจะมาตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียนกันทึุกคน ให้ความร่วมือในการทำกิจกรรมอย่างเต็มที่

ประเมินอาจารย์ 
          
           อาจารย์แต่งกายมาสอนสุภาพเรียบร้อย พูดจาไพเราะและเป็นกันเองมาก มาตรงต่อเวลา และทบทวนสอนสิ่งที่นักศึกษาไม่ค่อยเข้าใจสอนให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น